มัฏฐกุณฑลี(มัด-ทะ-กุน-ทะ-ลี) เป็นเด็กหนุ่มเมืองสาวัตถี เกิดในตระกูลพราหมณ์ พ่อแม่เป็นคนรวยมากแต่สุดยอดของความขี้เหนียว จนชาวบ้านให้สมญานามว่า "อนินนปุพพกะ"
แปลว่า "ผู้ไม่เคยให้อะไรแก่ใครเลย"
แต่ถึงกระนั้นก็ยังอุตส่าเอาทองคำบริิสุทธิมาทำเป็นต่างหูให้ลูกชาย
คนทั้งหลายจึงเรียกเด็กผู้นี้ว่า มัฏฐฑกุณฑลี ซึ่งแปลว่า "มีตุ้มหูเกลี้ยง"
ตุ้มหูนี้พ่อเป็นคนลงมือทำให้เองไม่ได้จ้างช่างทองที่ไหนเพราะว่ากลัวจะ
เปลือง
มัฏฐกุณฑลี เมื่ออายุได้ 16 ปีก็เกิดป่วยหนักเป็นวัณโรค
คนยุคนั้นเรียกว่าโรคผอมเหลือง นอนซมทรมานอยู่หลายวัน
คนเป็นพ่อกลับไม่พาไปหาหมอเพราะกลัวจะสิ้นเปลืองเงินทอง
ฝ่ายแม่อ้อนวอนเท่าไรก็ไม่ยอมใจอ่อน
อย่างดีก็แค่ไปถามหมอว่าคนที่มีอาการของโรคอย่างนั้นอย่างนี้ต้องให้กินยา
อย่างไรหรือยาอะไร จากนั้นเขาก็เข้าป่าไปหาสมุนไพร รากไม้ ใบไม้
ที่เป็นตัวยาที่หมอแนะนำ มาผสมต้มทำเป็นยาให้ลูกดื่มกินแทนที่จะพาไปรักษา
มัฏฐกุณฑลี อาการไม่ดีขึ้นเลย มีแต่ทรุดกับทรุดลงทุกวัน
จนไม่สามารถที่จะเยียวยาได้ สุดท้ายพราหมณ์ผู้เป็นพ่อต้องยอมแพ้ในที่สุด
ตัดใจไปตามหมอในหมู่บ้านให้มารักษาลูกชาย
แต่พอหมอมาเห็นอาการของคนไข้แล้วก็รู้ทันทีว่าหมดปัญญาจะรักษาให้ได้
จึงปฏิเสธการรักษาทุกรายไป
พ่อแม่ของมัฏฐกุณฑลี รู้แน่และทำใจเผื่อไว้แล้วว่าลูกชายตนคงไม่รอด
ขนาดนั้นฝ่ายพราหมณ์คิดกังวลไปถึงเรื่องเมื่อมีญาติพี่น้องหรือคนทั่วไปที่
จะมาเยี่ยมอาการของลูกชายเกิดเขาเข้ามาในบ้านอาจจะมาพบเห็น
สมบัติของตนที่มีมากมาย
และอาจทำให้คนเหล่านั้นมีความโลภแล้วคิดไม่ซื่อกับสมบัติตนจะเป็นอันตราย
เสี่ยงต่อความสูญเสีย ทรัพย์สมบัติที่ตนอุตส่าเฝ้าทะนุถนอมมานาน
จึงให้คนรับใช้ ช่วยกันหามลูกชายไปนอนพักรักษาที่ลานหน้าบ้านเผื่อใครที่คิดจะมาเียี่ยมจะได้ไม่ต้องเข้าไปในตัวเรือนบ้าน
ในวันนั้น พระพุทธเจ้า ทรงเข้าฌาน
ตรวจดูสัตว์โลก ก็ทรงทราบถึงอุปนิสัยของคนที่พระองค์ควรจะโปรด
ทรงเห็นอุปนิสัยของ มัฏฐกุณฑลีว่าเป็นบุคคลที่สมควรโปรดพระองค์จึงเสด็จมาหา
ขณะที่พระองค์เสด็จมาถึงหน้าบ้านที่ เด็กหนุ่มนอนรักษาตัวอยู่
ฝ่ายมัฏฐกุณฑลี
กลับอยู่ในท่าที่นอนหันหน้าเข้าบ้านหันหลังไปทางที่พระองค์ประทับยืนอยู่
พระพุทธเจ้ารู้ว่าเด็กหนุ่มไม่เห็นพระองค์แน่จึงกระทำการเปล่งแสงรัศมีไปวาบ
หนึ่ง มัฏฐกุณฑลี รับรู้ถึงพลังแห่งพุทธานุภาพได้ในทันที จึงหันหน้ามามอง
ก็ได้พบกับพระศาสดา พลันเกิดความรู้สึกทดท้อในใจว่า
"เหตุที่เพราะพ่อเราเป็นคนตระหนี่ี่ถี่เหนียว มีนิสัยเป็นคนพาล
ช่วงที่เรามีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงก็เลยไม่เคยได้ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีประภาค
เจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐมิได้ถวายทาน หรือฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเลย
มาบัดนี้แม้แต่จะยกมือกราบพระบาทก็ยังทำไม่ได้"
เมื่อคิดได้อย่างนั้นก็ทำใจละลึกในพระพุทธคุณและน้อมจิตให้เกิดศัทธาและ
เลื่อมในพระศาสดา
พระพุทธองค์เมื่อทราบว่า มัฏฐกุณฑลี
สามารถทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์ได้แล้วก็เสด็จออกไป พอลับตาเท่านั้น
เด็กหนุ่มก็สิ้นชีพแล้วไปเกิดในวิมานทอง
เสมือนว่าหลับแล้วตื่นขึ้นมายังอีกที่หนึ่ง
"ท่านพราหมณ์! จะหาสิ่งใดมาคู่ควรกับรถข้าพเจ้าไม่มีอีกแล้ว นอกจาก พระอาทิตย์กับพระจันทร์ ถ้าได้มาทั้งคู่ รถของข้าพเจ้าคงจะงามเยี่ยมหาสิ่งใดเทียมได้"
พราหมณ์คิดในใจว่า เด็กหนุ่มคนนี้คงเป็นบ้าแน่ๆจึงกล่าวว่า"เจ้าต้องการสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ เจ้าโง่เขลาเบาปัญญาเิกินไป ตายไปแล้วสักกี่ชาติเจ้าก็ไม่อาจนำเอาดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาทำล้อรถได้หรอก"
เด็กหนุ่มกลับตอบย้อนไปว่า"ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ยังปรากฎให้ข้าพเจ้าเห็นอยู่ ข้าพเจ้ายังต้องการสิ่งที่พอมองเห็นได้ แต่ท่านร้องไห้คร่ำครวญต้องการสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นคือ ลูกชายที่ตายไปแล้ว ท่านว่าระหว่างเราใครบ้ากว่ากัน"
พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นก็ได้สติ ยอมรับว่าเด็กหนุ่มพูดมาก็ถูก ตนเป็นคนโง่เขลากว่า เพราะต้องการสิ่งที่มองไม่เห็นและไม่มีใครเคยเรียกคืนมาได้ พราหมณ์ได้กล่าวชมเชยกับหนุ่มนั้นว่า "ข้าเป็นผู้ที่กำลังร้อนรุ่มนัก ส่วนเจ้าคือคนที่ได้นำน้ำเย็นมารดราดคือความเห็นถูกให้ข้ากลายเป็นผู้เย็น เหมือนดังว่าเจ้านำน้ำมาดับไฟ ความกระวนกระวายทั้งปวงของข้าดับลงแล้ว ความเศร้าคิดถึงลูกก็บรรเทาลง คำของเจ้าประเสริฐนักช่วยดับความร้อนและความเศร้าในใจของข้าได้"แล้วพราหมณ์ก็ได้ถามว่าหนุ่มน้อยนี้เป็นใครมาจากใหน เทพบุตรมัฏฐกุณฑลี ก็บอกเขาไปตามตรงว่าเขาคือลูกชายของพราหมณ์ที่ตายไป ก่อนตายได้ทำกุศลอย่างใหญ่หลวงจึงได้ไปเกิดเป็นเทพ พราหมณ์สงสัยว่า อยู่ด้วยกันมาไม่เคยเห็นลูกชายตนทำทานหรือรักษาศีลอันใดเลย แล้วไปเกิดเป็นเทพด้วยบุญอะไร
เทพบุตรเลยเล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดถึงที่บ้านให้พราหมณ์ได้ฟัง เมื่อได้ฟังเรื่องราวแล้วทำให้พราหมณ์รู้สึกยินดีปราโมชเป็นอย่างยิ่งแล้วกล่าวว่า" น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ การทำอัญชลีกรรมแด่พระพุทธเจ้ามีผมถึงปานนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป พราหมณ์ได้ปฏิญาณกับเทพบุตรว่า ตนจะรักษาศีล ให้ทานและเลื่อมในพระรัตนตรัย แล้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่ออาราธนาให้ไปเสวยภัตตาหารที่เรือนของตนในวันรุ่งขึ้น
ณ เรือนของพราหมณ์ในวันต่อมา เมื่อพระพุทธองค์เสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว พราหมณ์ได้ทูลถามพระศาสดาว่า "เหตุใด บุคคลที่ไม่เคยถวายทานแด่พระองค์ ไม่่ได้บูชาพระองค์ ไม่ได้รักษาอุโบสถ แต่ได้ไปเกินในสวรรค์ ด้วยเหตุเพียงการทำจิตให้เลื่อมในในพระองค์อย่างเดียว"
"พราหมณ์..ท่านถามเรื่องนี้กับเราอีกทำไม ในเมื่อมัฏฐกุณฑลีก็ชี้แจงแก่ท่านไปแล้วนี่"
กล่าวฝ่ายพราหมณ์ผู้เป็นพ่อ หลังจากสูญเสียลูกชายและได้จัดการฌาปนกิจศพเรียบร้อยแล้วก็เอาแต่ไปยืนร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่ป่าช้าที่ฝังศพลูกชาย ทุกวันคืนไปเป็นอันทำอะไร
ทางด้านเทพบุตรมัฏฐกุณฑลี หลังจากรู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ในเทวโลกแล้ว
ก็พิจารณาถึงทิพยสมบัติของตนแล้ว
ก็รู้เห็นโดยตลอดว่าได้มาเพราะตนได้ทำจิตให้เลื่อมใสในพระศาสดาก่อนสิ้นลม
หายใจ ได้มองลงมาเห็นพราหมณ์บิดายืนร้องไห้ที่ป่่าช้า
จึงแปลงกายลงมาเป็นมนุษย์หน้าตาคล้ายตนเองตอนยังไม่สิ้นชีวิตยืนกอนแขน
ร้องไห้เช่นกันแต่อยู่อีกฟากตรงข้ามกับพราหมณ์บิดา
พราหมณ์เมื่อได้ยินเสียงคนร้องไห้ หันไปมองก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาคล้ายบุตรตนจึงเดินเข้าไปหา
"พ่อหนุ่ม, ดูท่านละม้ายคล้ายบุตรข้าพเจ้ามาก ท่านมายืนร้องไห้เพราะมีทุกข์อันใดรึ"
"แล้วท่านล่ะ มีทุกข์อันใด" หนุ่มน้อยถามกลับ
"ข้า โศรกเศร้าถึงบุตรคนเดียวของข้าที่ตายจากไป"
"ส่วนข้าพเจ้า.. มีรถอยู่คันหนึ่ง ตัวรถเป็นทองคำล้วนผุดผ่องสวยงาม
แต่ข้าพเจ้าหาล้อที่เหมาะสมกับตัวรถไม่ได้
ข้าพเจ้าคงต้องตรอมใจตายเพราะเรื่องนี้แน่ๆ"
พราหมณ์ตกตะลึงในคำตอบของหนุ่มน้อย
ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า"เด็กเอ๋ยเด็กน้อย! เจ้าต้องการล้อเงินหรือล้อทองล่ะ
หรือแก้วมณีหรือโลหะก็บอกมาเถิด ข้าสัญญาว่าจะหามาให้เจ้า"
เทพบุตรมัฏฐกุณฑลีคิดในใจว่า"พราหมณ์นี้ช่างเป็นไปได้ เมื่อตอนลูกของตัวเองป่วยหนักนั้น ไม่ยอมเสียเงินรักษาแม้แต่น้อย มาบัดนี้จะยอมจ่ายค่าล้อรถให้ไม่ว่าเป็นล้อเงินหรือล้อทอง...พราหมณ์ผู้นี้เป็นอันธพาลจริงๆ ...แต่เอาเหอะ เราจะล้อแกเล่นสักเล็กน้อย" "ท่านพราหมณ์! จะหาสิ่งใดมาคู่ควรกับรถข้าพเจ้าไม่มีอีกแล้ว นอกจาก พระอาทิตย์กับพระจันทร์ ถ้าได้มาทั้งคู่ รถของข้าพเจ้าคงจะงามเยี่ยมหาสิ่งใดเทียมได้"
พราหมณ์คิดในใจว่า เด็กหนุ่มคนนี้คงเป็นบ้าแน่ๆจึงกล่าวว่า"เจ้าต้องการสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ เจ้าโง่เขลาเบาปัญญาเิกินไป ตายไปแล้วสักกี่ชาติเจ้าก็ไม่อาจนำเอาดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาทำล้อรถได้หรอก"
เด็กหนุ่มกลับตอบย้อนไปว่า"ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ยังปรากฎให้ข้าพเจ้าเห็นอยู่ ข้าพเจ้ายังต้องการสิ่งที่พอมองเห็นได้ แต่ท่านร้องไห้คร่ำครวญต้องการสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นคือ ลูกชายที่ตายไปแล้ว ท่านว่าระหว่างเราใครบ้ากว่ากัน"
พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นก็ได้สติ ยอมรับว่าเด็กหนุ่มพูดมาก็ถูก ตนเป็นคนโง่เขลากว่า เพราะต้องการสิ่งที่มองไม่เห็นและไม่มีใครเคยเรียกคืนมาได้ พราหมณ์ได้กล่าวชมเชยกับหนุ่มนั้นว่า "ข้าเป็นผู้ที่กำลังร้อนรุ่มนัก ส่วนเจ้าคือคนที่ได้นำน้ำเย็นมารดราดคือความเห็นถูกให้ข้ากลายเป็นผู้เย็น เหมือนดังว่าเจ้านำน้ำมาดับไฟ ความกระวนกระวายทั้งปวงของข้าดับลงแล้ว ความเศร้าคิดถึงลูกก็บรรเทาลง คำของเจ้าประเสริฐนักช่วยดับความร้อนและความเศร้าในใจของข้าได้"แล้วพราหมณ์ก็ได้ถามว่าหนุ่มน้อยนี้เป็นใครมาจากใหน เทพบุตรมัฏฐกุณฑลี ก็บอกเขาไปตามตรงว่าเขาคือลูกชายของพราหมณ์ที่ตายไป ก่อนตายได้ทำกุศลอย่างใหญ่หลวงจึงได้ไปเกิดเป็นเทพ พราหมณ์สงสัยว่า อยู่ด้วยกันมาไม่เคยเห็นลูกชายตนทำทานหรือรักษาศีลอันใดเลย แล้วไปเกิดเป็นเทพด้วยบุญอะไร
เทพบุตรเลยเล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดถึงที่บ้านให้พราหมณ์ได้ฟัง เมื่อได้ฟังเรื่องราวแล้วทำให้พราหมณ์รู้สึกยินดีปราโมชเป็นอย่างยิ่งแล้วกล่าวว่า" น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ การทำอัญชลีกรรมแด่พระพุทธเจ้ามีผมถึงปานนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป พราหมณ์ได้ปฏิญาณกับเทพบุตรว่า ตนจะรักษาศีล ให้ทานและเลื่อมในพระรัตนตรัย แล้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่ออาราธนาให้ไปเสวยภัตตาหารที่เรือนของตนในวันรุ่งขึ้น
ณ เรือนของพราหมณ์ในวันต่อมา เมื่อพระพุทธองค์เสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว พราหมณ์ได้ทูลถามพระศาสดาว่า "เหตุใด บุคคลที่ไม่เคยถวายทานแด่พระองค์ ไม่่ได้บูชาพระองค์ ไม่ได้รักษาอุโบสถ แต่ได้ไปเกินในสวรรค์ ด้วยเหตุเพียงการทำจิตให้เลื่อมในในพระองค์อย่างเดียว"
"พราหมณ์..ท่านถามเรื่องนี้กับเราอีกทำไม ในเมื่อมัฏฐกุณฑลีก็ชี้แจงแก่ท่านไปแล้วนี่"
พระศาสดาทรางทราบว่ามหาชนที่มาประชุมกัน ณ ที่นีั้ ยังไม่สิ้นสงสัยจึงทรงอธิษฐานให้มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมาจากวิมาน แล้วพระองค์ก็สัมภาษณ์เรื่องราวต่างๆ และเทพบุตรก็ตอบตามความจริงทุกประการ
มหาชนได้รับฟังการถามตอบระหว่างพระศาสดากับเทพบุตรแล้ว อุทานออกมาด้วยความปีติโสมนัสและเลื่อมในเป็นอย่างยิ่ง"ท่านทั้งหลาย ณ ที่นี่้ บุตรของพราหมณ์ไม่ได้ทำบุญอย่างอื่นเลย เพียงแต่ทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้นยังได้อริยทรัพย์ถึงเพียงนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณน่าอัศจรรย์นัก
พระศาสดาจึงตรัสพระภาษิตว่า
" สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสำคัญที่ใจ ฯลฯ ถ้าใจดี ใจผ่องใส การทำ การพูดก็พลอยดีไปด้วย เพราะความดีนั้น ความสุขก็ติดตามมาเหมือนเงาตามตน"
มหาชนได้รับฟังการถามตอบระหว่างพระศาสดากับเทพบุตรแล้ว อุทานออกมาด้วยความปีติโสมนัสและเลื่อมในเป็นอย่างยิ่ง"ท่านทั้งหลาย ณ ที่นี่้ บุตรของพราหมณ์ไม่ได้ทำบุญอย่างอื่นเลย เพียงแต่ทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้นยังได้อริยทรัพย์ถึงเพียงนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณน่าอัศจรรย์นัก
พระศาสดาจึงตรัสพระภาษิตว่า
" สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสำคัญที่ใจ ฯลฯ ถ้าใจดี ใจผ่องใส การทำ การพูดก็พลอยดีไปด้วย เพราะความดีนั้น ความสุขก็ติดตามมาเหมือนเงาตามตน"
ที่มา http://watt-mystock.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น