ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์วัดอภัยทายาราม (วัดมะกอก) ขอเรียนเชิญเจริญพรญาติโยมสาธุชนทั้งหลาย ทำบุญกฐินสามัคคี อันจะมีขึ้นในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2561 ณ วัดอภัยทายาราม (วัดมะกอก) เวลา 08.30น.เป็นต้นไป

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

มงคลที่ 11 บำรุงบิดามารดา

                                                     คนที่หา ได้ยาก มากไฉน
                                                    เพราะว่าใน โลกนี้ มีเพียงสอง
                                                    คือพ่อแม่ เกิดเกล้า เหล่าลูกต้อง
                                                    ตอบสนอง พระคุณ ได้บุญแรง


    ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย ไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ์
    เมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมออกดอกออกผลให้แก่เจ้าของฉันใด
    คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่
    เมื่อมีโอกาสย่อมตอบแทนคุณพ่อแม่ และผู้มีอุปการคุณ ฉันนั้น
    ทองคำแท้หรือไม่ โดนไฟก็รู้
    คนดีแท้หรือไม่ ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่
    ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยงแสดงว่าไม่ดีจริง
    เป็นพวกทองชุบทองเก๊

พระคุณของพ่อแม่
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตนประคับประคองท่านอยู่บนบ่า นั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสาวะบนบ่านั้น 
แม้บุตรจะมีอายุถึง 100 ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด
    ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุ แทนปากกา น้ำในมหาสมุทร แทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง ก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด
    บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร โดยสรุปคือ

    1. เป็นต้นแบบทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลาย ในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่นก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำ
ให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมาเป็น เครื่องประดับบ้านเรือนได้ ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากเป็นแบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีก เช่นแบบเป็นพระพุทธรูปก็จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ ทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่า คุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแบบที่พิมพ์นั่นเอง
    ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใดก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้แบบเป็นคน ซึ่งเป็นโครงร่างที่ ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลายเหมาะในการ ทำความดีทุกประการ เราจึงสามารถใช้ความรู้ความสามารถประกอบคุณความดีได้เต็มที่พระคุณของพ่อแม่ ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้ว ยิ่งท่านอบรมเลี้ยงดูเรามาเป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกอนันต์
    2. เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอม อบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก

สมญานามของพ่อแม่

    สมญานามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมวิหารธรรม 4 ประการ ได้แก่

    1. มีเมตตา คือ มีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด
    2. มีกรุณา คือ หวั่นใจในความทุกข์ของลูก และคอยช่วยเหลือเสมอ ไม่ทอดทิ้ง
    3. มีมุทิตา คือ เมื่อลูกมีความสุข บาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ

    4. มีอุเบกขา คือ เมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษาให้เมื่อลูกต้องการ
    พ่อแม่เป็นเทวดาของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัยเลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่นๆ

    พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่ง อนอบรมทั้งคำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่นๆ

    พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะมีคุณธรรม 4 ประการ ได้แก่

    1. เป็นผู้มีอุปการะมากแก่ลูก ท่านได้ทำภารกิจอันทำได้แสนยาก ได้แก่ การอุปการะเลี้ยงดูซึ่งยากที่จะหาคนอื่น ทำแก่เราได้อย่างท่าน
    2. มีพระเดชพระคุณมาก ปกป้องอันตราย ให้ความอบอุ่นแก่ลูกมาก่อน
    3. เป็นเนื้อนาบุญของลูก มีความบริสุทธิ์ใจต่อลูกอย่างแท้จริง เป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน
    4. เป็นอาหุไนยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการนมั การของลูก

คุณธรรมของลูก

    เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน คุณธรรมของลูกเริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไรสูงขึ้น ไปอีก คือตอบแทนคุณท่าน ในทางพระ
พุทธ ศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบรรยาย คุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้นๆ แต่จับความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า กตัญู กตเวที คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน 2 คำนี้
    กตัญู หมายถึง เห็นคุณค่าของท่าน คือเห็นด้วยใจด้วยปัญญา ว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาวๆ ไปเท่านั้น

    คุณของพ่อแม่ดูได้จากอุปการะ คือประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้าง ที่แตกต่างจากคนอื่นตามธรรมดาของคนทั่วๆไป เมื่อจะอุปการะใครเขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลัก
ทรัพย์ หรือดูนิสัยใจคอต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าอุปการคุณ ของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้นเป็นการ อุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใดๆ เลย เราเองก็เกิดมาตัวเปล่าไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็ม เล่มเดียว ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวัยวะร่างกายจะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่ ยิ่งนิสัยใจคอแล้วยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว โตขึ้น มาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญูหรือไม่ไม่รู้ทั้งนั้น หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียวระหว่างเรากับท่านก็ไม่มี แต่ท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิต ที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย เรื่องเหล่านี้ต้องคิดดูด้วยเหตุผล อย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้นการพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ ด้วยใจอย่างนี้เรียกว่า กตัญู เป็นคุณธรรมเบื้องต้น ของผู้เป็นลูกยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไร แสดงว่าใจของเราเริ่มใสและสว่างมากขึ้นเท่านั้น
    กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ 2 ประการ คือ
    1. ประกาศคุณท่าน
    2. ตอบแทนคุณท่าน

    การประกาศคุณท่าน หมายถึง การทำให้ผู้อื่นรู้ว่าพ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใดเรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมากไปทำตอนงานศพ คือเขียนประวัติ รรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจก การกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก ถ้าเป็นการกินผลไม้ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น ยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้ คือที่ตัวเรานี่เอง

 
    คนเราทุกคนคือตัวแทนของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่าน เนื้อก็แบ่งมาจากท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละ จะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างโจ่งแจ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่หนังสือแจก ไม่ใช่อยู่ที่หีบศพบนเชิงตะกอน แต่อยู่ที่ตัวเรานี่เองหากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่า คุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา โกงเงินหลวงทุกครั้งที่มีโอกาสศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษา ก็ผิดที่ไปสดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดีุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเรา ผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่าง เรียงพิมพ์ แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ชาวบ้านว่า พ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา

    พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรักท่านก็ควรประกาศคุณความดีของท่าน ประกาศด้วยความดีของตัวเราเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่ง่วนใครจะประพันธ์ รรเสริญคุณพ่อแม่พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ดจะทำก็ได้ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร

    ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา ลองพิจารณาดูว่า เราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำถึงกับประจานผู้บังเกิดเกล้า ด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม

    การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
    1. เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอบเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวก บาย และเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย

    2. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอแม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึง เพียงนี้แล้ว ยังนับว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญูกตเวทีต้องการจะ นองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้

    1. ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศา นา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
    2. ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้
    3. ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
    4. ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้
    เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธา การให้ทาน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนาเป็นประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ผู้เป็น บิดามารดาผู้ปฏิบัติ เองทั้งในภพนี้ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือ เป็นหนทางไปสู่นิพพาน
 
อานิสงส์การบำรุงบิดามารดา
    1. ทำให้เป็นคนมีความอดทน
    2. ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ
    3. ทำให้เป็นคนมีเหตุผล
    4. ทำให้พ้นทุกข์พ้นภัย
    5. ทำให้ได้ลาภโดยง่าย
    6. ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน
    7. ทำให้เทวดาลงรักษา
    8. ทำให้ได้รับการยกย่อง รรเสริญ
    9. ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า
    10. ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี
    11. ทำให้มีความสุข
    12. ทำให้เป็นแบบอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง
    ฯลฯ

    เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดานั้นแล บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้นี่เอง เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์   ขุ. ชา. ตฺตติ 28/162/67
 อ่านต่อ http://www.kalyanamitra.org

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น